ที่โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ เชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดการประชุมวิชาการด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ประจำปี 2556 ในหัวข้อ “อนุรักษ์ ฟื้นฟู มุ่งสู่การใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน” โดยได้มีการนำเสนอผลงานวิจัยด้านความหลากหลายทางชีวภาพของกรมอุทยานฯ และนักวิชาการจากสถาบันการศึกษาที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้นายสมราน สุดดี นักวิทยาศาสตร์ชำนาญการพิเศษ สำนักหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานฯ เปิดเผยว่า ขณะนี้ประเทศไทยได้รับการยืนยันการค้นพบพันธุ์ไม้ชนิดใหม่ของโลก 3 ชนิด คือ ว่านแผ่นดินเย็นเขาใหญ่ กล้วยไม้ไรใบเบตง และกระเพราตะนาวศรี โดยทั้งหมดได้รับการยืนยันจากการตีพิมพ์ในวารสารด้านพฤษศาสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกว่าเป็นพืชชนิดใหม่ของโลกแล้ว
นายสมราน กล่าวต่อว่า สำหรับว่านแผ่นดินเย็น หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ว่านพระฉิม เป็นกล้วยไม้ดินในสกุล Nervilia ซึ่งดอกกับใบจะออกไม่พร้อมกัน ระยะที่พบใบจะไม่พบดอก หรือระยะที่พบดอกจะ ไม่พบใบ กล้วยไม้ชนิดใหม่ของโลกชนิดนี้ถูกค้นพบที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จ.นครราชสีมา ทั้งนี้ ลักษณะ ของกล้วยไม้ชนิดนี้ ใบและดอกออกไม่พร้อมกัน หัวอยู่ใต้ดินรูปเกือบกลม ใบสีเขียวหรือสีม่วง กว้างและยาว 5-7 ซม. ช่อดอกยาวได้ถึงเกือบ 1 ซม. มี 1 ดอก มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ กลีบเลี้ยงและกลีบดอกสีน้ำตาล ยาวได้เกือบ 2 ซม.กลีบดอกรูปรีถึงรูปใบหอกกลับแกมรูปแถบ กลีบปากสีขาวรูปขอบขนานหรือรูปไข่กลับแกมรูปขอบขนานยาว 1.5-2 ซม.พบขึ้นประปรายบริเวณป่าดิบชื้น ระหว่างเส้นทางไปน้ำตกผากล้วยไม้ ออกดอกประมาณเดือนมี.ค.– ก.ย. จากนั้นนักวิจัยใช้เวลาศึกษาร่วม 2 ปี จึงทราบว่าเป็นกล้วยไม้ชนิดใหม่ของโลก และได้ตีพิมพ์ตามกระบวนการทางพฤกษศาสตร์ โดยให้ชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Nervilia khaoyaica Suddee, Watthana & S. W. Gale และ ยังตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ Kew Bulletin ของสวนพฤกษศาสตร์คิว กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร เล่มที่ 68 ปี 2013 และได้ให้ชื่อไทยว่า ว่านแผ่นดินเย็นเขาใหญ่ ตามสถานที่ที่พบ
นายสมราน กล่าวต่อว่า กล้วยไม้พันธุ์ใหม่อีกชนิดของโลก คือ กล้วยไม้ไร้ใบเบตง อยู่ในสกุลกล้วยไม้กินซาก ที่ไม่มีใบ พบขึ้นเฉพาะบริเวณป่าดิบที่สมบูรณ์ กล้วยไม้ไร้ใบเบตง ถูกเก็บมาจากป่าดิบบริเวณบ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 10 อ.เบตง จ.ยะลา ใกล้ชายแดนมาเลเซีย เมื่อปี 2550 และเก็บตัวอย่างเพิ่มเติมในปี พ.ศ. 2553 พบว่าเป็นกล้วยไม้ดิน รากอวบน้ำใบลดรูปเป็นเกล็ด ดูเหมือนไร้ใบ ช่อดอกยาวได้ถึง70 ซม. สีม่วงเข้มถึงดำกลีบเลี้ยงสีเขียว กลีบเลี้ยงบนรูปใบหอกกลับแกมรูปขอบขนาน ยาวประมาณ 1 ซม. กลีบเลี้ยงคู่ข้างรูปขอบขนาน ยาว 0.5-1 ซม. กลีบดอกสีเขียวอ่อน พบขึ้นประปรายในปริมาณน้อยเฉพาะบริเวณป่าดิบชื้นที่สมบูรณ์ในเขตป่าบาลา-ฮาลา ออกดอกและเป็นผลเดือน ก.พ. – ก.ย. จึงทราบว่ากล้วยไม้ดินชนิดนี้เป็นกล้วยไม้ชนิดใหม่ของโลกจึงได้ร่วมกับ ดร.เฮ็นดริกส์ เพดเดอร์เซน ผู้เชี่ยวชาญกล้วยไม้แห่งหอพรรณไม้มหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน เดนมาร์ก เสนอตีพิมพ์ตามวิธีการทางพฤกษศาสตร์ในวารสารนานาชาติ Taiwania, International Journal of LifeSciences เล่มที่ 56(1) ปี 2011 โดยให้ชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Lecanorchis betongensis Suddee & H. A. Pedersen ส่วนชื่อไทยได้ให้ชื่อว่ากล้วยไม้ไร้ใบเบตงตามสถานที่ที่พบ
นายสมราน กล่าวอีกว่า ส่วนกะเพราตะนาวศรี ค้นพบจากการสำรวจ บริเวณเขาหินปูนดอยหัวหมด อ.อุ้มผาง จ.ตาก เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี สูงได้ถึง 60 ซม. มีเหง้าใต้ดิน ใบเรียงตรงข้ามสลับตั้งฉากหรือเป็นวงรอบ 3 ใบ รูปไข่หรือรูปไข่แกมรูปรี กว้าง 1-3 ซม. ยาว 2-6 ซม. แผ่นใบมีขนสาก ช่อดอกยาวได้ถึง 25 ซม. ดอกสีม่วงอ่อน กลีบเลี้ยงสีม่วงแดง ยาว 4-5 มม. มีขนมีต่อม กลีบดอกยาวประมาณ 1 ซม. โคนเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายหลอดซีกล่างมีกลีบปากซึ่งมี 5แฉก ซีกบนลดรูป เกสรเพศผู้มี 2 คู่ ยาวไม่เท่ากัน พบขึ้นตามเขาหินปูนผุกร่อนแถบเทือกเขาตะนาวศรีตั้งแต่บริเวณ อ.อุ้มผาง จ.ตาก ถึง จ.กาญจนบุรี ออกดอกและเป็นผลเดือน ส.ค. – พ.ย.ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเอกสารทางพฤกษศาสตร์และเทียบเคียงตัวอย่างพรรณไม้ในหอพรรณไม้ต่าง ๆ ทั่วโลก พบว่าพืชชนิดนี้เป็นพืชชนิดใหม่ของโลก จึงได้ร่วมกับ ดร.อลัน พาตอน ผู้เชี่ยวชาญพรรณไม้วงศ์กะเพราของสวนพฤกษศาสตร์คิวนำเสนอตีพิมพ์ตามวิธีการทางพฤกษศาสตร์ โดยได้ตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ Kew Bulletin เล่มที่ 63 ของสวนพฤกษศาสตร์คิว สหราชอาณาจักร ซึ่งมีการตีพิมพ์พืชชนิดนี้อย่างเป็นทางการในเดือนก.พ. 2552 โดยให้ชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Teucrium scabrum Suddee& A. J. Paton ส่วนชื่อไทยได้ให้ชื่อว่ากะเพราตะนาวศรีตามแหล่งที่พบบริเวณเทือกเขาตะนาวศรี
ด้านนายวัฒนา ศักชูวงษ์ นักกีฏวิทยา กรมอุทยานฯ เปิดเผย ว่าจากการสำรวจชนิดพันธุ์มดต่างถิ่นที่รุกรานสู่ป่าอนุรักษ์ ในพื้นที่อนุรักษ์ 22 แห่ง ทั่วประเทศไทย ระหว่างเดือน ธ.ค. 2554 –ส.ค. 2555 สำรวจมดจำนวนทั้งสิ้น 162 ชนิด14,026 ตัว เป็นมดประจำถิ่น 154 ชนิด 12,900 ตัว เป็นมดต่างถิ่น 8 ชนิด 1,126 ตัว มดต่างถิ่น 8 ชนิดพันธุ์ ที่พบ เป็นมดต่างถิ่นตามทะเบียนชนิดพันธุ์พืชต่างถิ่นที่ควรป้องกัน ควบคุมและกำจัดของประเทศไทย ในรายการที่ 1 คือ ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานแล้ว จำนวน 2 ชนิด ได้แก่ มดน้ำผึ้ง ( Anoplolepis gracilipes) และ มดคันไฟ ( Solenopsis geminata ) และเป็นชนิดพันธุ์ในรายการที่ 3 คือ ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่มีประวัติว่ารุกรานแล้วในประเทศอื่น แต่ยังไม่รุกรานในประเทศไทย 1 ชนิด คือ มดเหม็น (Tapinoma melanocephalum ) นอกจากนี้ยังพบมดต่างถิ่น ที่จำแนกตามคู่มือการจำแนกมดต่างถิ่นในแถบหมู่เกาะแปซิฟิก (PIAKEY: Identification guide to ants of the pacific island ) อีก 5 ชนิด ได้แก่ มดกินน้ำตาล (Paratrechina longicornis) มดริ้วชรา (Tetramorium lanuginosum) มดละเอียด( Monomorium pharaonis ) มดเข็มเอเชีย ( Pachycondyla chinensis ) และ มดกระโดดบ้าน (Odontomachus simillimus) โดยพบ มดกินน้ำตาลมากที่สุด สำหรับอุทยานแห่งชาติภูพานมีปริมาณมดต่างถิ่นมากที่สุด อุทยานฯ นายูง-น้ำโสมและอุทยานฯ เขาสามร้อยยอด มีจำนวนชนิดของมดต่างถิ่นมากที่สุด โดยพบถึง 7 ชนิด
นายวัฒนา กล่าวอีกว่า จากการศึกษาพบว่ามดน้ำผึ้งเป็นชนิดที่มีอันตรายคุกคามต่อพืชและสัตว์ในพื้นที่อนุรักษ์มากที่สุด ตลอดจนสร้างความรำคาญให้แก่คนและสัตว์ ทั้งนี้ยังไม่แน่ชัดว่ามดเหล่านี้เข้ามาในไทยได้อย่างไร สันนิษฐานว่าอาจจะติดมากับเรือหรือการขนส่งสินค้าจากต่างประเทศ ซึ่งมดเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศของไทย เพราะจะเป็นผู้ล่ากินมดพื้นถิ่นในป่า แมลง นก สัตว์ขาปล้อง สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่หากินตามพื้นป่า ซึ่งจะทำให้สัตว์พื้นถิ่นเหล่านี้ลดจำนวนลงได้เพราะมดต่างถิ่นเหล่านี้สามารถขยายพันธุ์และแพร่กระจายได้เร็วมาก จึงต้องเฝ้าระวังพื้นที่อนุรักษ์ให้ดี เพราะเมื่อเข้ามาแล้วก็หาวิธีกำจัดได้ยาก.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น